แนะนำตัว
สวัสดีค่ะ ชื่อเอ๋ยค่ะ ปัจจุบันเป็น Senior QA อยู่ที่ Woxa Corporation ค่ะ เรียนจบจากคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่นค่ะ
จุดเริ่มต้นของการมาเป็น QA
จุดเริ่มต้นที่สนใจในตำแหน่งนี้คือ เราอยากพัฒนาศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่แล้ว เพื่อให้ Career path ของเรามีการเติบโตมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
ต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวกับ Tech เลย แต่ด้วยเนื้องานมีความเกี่ยวข้องกับการเทสด้วย เลยทำให้เรายิ่งสนใจมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราเป็น BD อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งค่ะ ก็คุยเรื่องระบบการทำงานของเครื่อง POS เป็นส่วนใหญ่เลย และได้เข้าไปเทสเกี่ยวกับเครื่อง POS และ EDC อยู่ตลอด ทำให้สนใจที่จะทำงานเทส หลังจากนั้นก็ได้มีการเรียนคอร์สต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตอนเลิกงาน ความรู้สึกเหมือนเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนเลย
เราเสียเปรียบคนอื่นก็ตรงที่ไม่ได้จบตรงสายเลยทำให้ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดทุกอย่าง แต่ก็เป็นข้อได้เปรียบตรงที่เราไม่ต้องเรียนแบบจับฉ่ายหรือรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเริ่มจากตรงไหน และต้องเรียนรู้อะไรบ้าง ทำให้ระยะเวลาที่ใช้เรียนไม่นานมากค่ะ ไม่ถึง 1 ปีเราก็ลองสัมภาษณ์งานและใช้ทักษะที่มีอยู่แล้ว และที่ได้เรียนเพิ่มเติมมาผสมผสานกัน สนุกมาก ได้รู้ว่าจริง ๆ การเทสก็เหมือนกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนขี้สงสัยคนหนึ่งค่ะ 555 พูดแล้วก็ตลกเพราะตัวเองก็เป็นคนขี้สงสัยอยู่แล้ว ชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ เลยรู้สึกว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ เพราะที่ผ่านมาทำงานไหนก็ไม่สนุกเท่าเป็น QA เลยค่ะ มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นในการมาเป็น QA ในครั้งนี้
QA ทำหน้าที่อะไรบ้าง ?
QA มีหน้าที่ตรวจสอบข้อบกพร่องการทำงานของระบบ ทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น ซึ่งก่อนจะทำการเทส เราต้องมีการวางแผนกับคนในทีมและอ่าน Requirement ของระบบให้เข้าใจก่อน แล้วจึงวางแผนกับทีมเทสให้เข้าใจกัน ว่าใครจะเทสส่วนไหน เผื่อไม่ให้เกิดการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน
การเทสจะมีอยู่ 3 ส่วนคือ 1. ส่วนของ UI จะต้องทำงานร่วมกับ UX/UI เพื่อยืนยันเรื่องการออกแบบ 2. ส่วนของ Function หรือการทำงานของระบบหลัก ๆ ทั้ง Front-end และ Back-end 3. ส่วนของการ Integration ทั้งระหว่าง Front-end, Back-end และ Third Party ซึ่งทีมเทสต้องเป็นคนตรวจสอบทั้งหมดค่ะ
เทคโนโลยีที่ QA ใช้ในการทำงานมีอะไรบ้าง ?
Manual test ทีมเทสเราใช้ Draw.io บ้าง Miro บ้าง ในการคุย Flow ภาพรวมการทำงานของระบบก่อนทำ Test Plan โดยเราใช้ Notion ช่วยทำ Test Plan, แบ่งงาน และใช้ JIRA ในการ Tracking Bug และ ทำ Test Report ค่ะ
ในส่วนของ E2E เราใช้ Cypress.io Run test เมื่อมีการ Regression Test และใช้ Postman สำหรับ API Test ค่ะ
QA และ Tester ต่างกันอย่างไร ?
ส่วนตัวมองว่าไม่ต่างกันค่ะ จริงๆทั้งสองตำแหน่งคือต้องทำการเทสด้วยกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ QA อาจจะต้องคำนึงถึงการป้องกันการเกิดปัญหาของระบบหรือ bug ไว้ล่วงหน้า หรืออาจจะต้องมองภาพรวมออกและคิด scenario ไว้หลายๆ รูปแบบค่ะ ตอนที่เป็น Tester การวางแผนของเราก็ไม่ได้คลอบคลุมมาก เราแค่เทสไปตามที่ระบบมี และคิด Test case ให้ได้มากที่สุด ยังนึกภาพรวมไม่ค่อยออกด้วยซ้ำ แต่การเป็น QA ต้องวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ และคลอบคลุมมากกว่านั้นค่ะ
ความท้าทายของการเป็น QA คืออะไร ?
คือการที่เราต้องมีความสามารถในการสื่อสารกับทุกฝ่ายให้เข้าใจกันค่ะ ทั้ง Developer, Operation, Support และ User ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะแต่ละคนก็จะมีภาษาในการสื่อสารที่ต่างกัน มี Logic ที่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่เรา Test เราต้องสวมบทบาทเป็น User เมื่อมี Bug เราต้องสื่อสารกับ Developer ให้เข้าใจกัน และหาก Support มี Issue หรือ Request อื่นๆ เราก็ต้องคิด Test scenario ใหม่ให้คลอบคลุมไว้เผื่อด้วยค่ะ
ถ้าอยากเป็น QA ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?
เราเชื่อว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากความสนใจของเราก่อนค่ะ อยากให้ทุกคนที่สนใจลองเริ่มจากการอ่าน Blog ต่างๆ หรือเริ่มจาก Medium ก็ได้ค่ะ เราก็เริ่มอย่างนั้นเหมือนกัน ลองศึกษาดูว่า จะเป็น QA / Tester ต้องทำอะไรบ้าง ต้องเรียนรู้อะไรบ้าง แล้วก็ List เป็นหัวข้อสำคัญๆที่จำเป็นเลยค่ะ อย่างเช่น “How to create happy test case” ประมาณนี้ค่ะ
ถ้าศึกษาพอประมาณแล้วมั่นใจแล้วว่าชอบจริงๆ หลังจากนั้นก็เดินหน้าต่อเลยค่ะ ลงเรียนคอร์สต่างๆบ้างก็ได้นะ ส่วนตัวแนะนำ Udemy เพราะเราก็เรียนในนั้นค่ะ ถูกและดีมีเยอะแยะเลย เราถือคติว่า
"การศึกษาไม่มีคำว่าแพง 555 "
เรียนเลยค่ะเพราะยังไงเราได้ใช้แน่นอน สู้ๆนะคะทุกคน เป็นกำลังใจให้ทั้งคนที่เรียนจบแล้วอยากเป็น Tester และคนที่อยากเปลี่ยนสายงานแบบเรา มั่นใจค่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น! ขอบคุณทุกคนที่สนใจ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจนะคะ
